Blogger templates

Blogger templates

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

ผ้าไทยภาคใต้


                             ผ้าพื้นบ้านภาคใต้


          ในสมัยรัตนโกสินทร์ บริเวณภาคใต้ทั้งด้านตะวันออกและตะวันตก รวมเรียกว่า หัวเมืองปักษ์ใต้เป็นบริเวณที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับหัวเมืองอื่นๆ ซ้ำยังเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่ต้องการของนักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก เช่น ยุคต้นรัตนโกสินทร์ อังกฤษพยายามเข้ามาขอเช่าแกมบังคับเกาะปีนังหรือเกาะหมาก จนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้น ทำให้หัวเมืองปักษ์ใต้มีความสำคัญยิ่งขึ้น ในแง่ที่เป็นเมืองหน้าด่านของไทยที่คอยดูแลเมืองอื่นๆ ที่เป็นประเทศราชที่มิใช่ชนเชื้อชาติไทย และรับผลกระทบจากการกระทบกระทั่งกับชาติตะวันตก ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลในบริเวณนั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จ 

             พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงภัยจากประเทศตะวันตก จึงเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ถึงสองครั้ง คือ พ.ศ. ๒๔๐๒ และพ.ศ. ๒๔๐๖ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างหัวเมืองปักษ์ใต้และกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้น พร้อมกับทรงจัดระบบการปกครองหัวเมืองเหล่านั้นเสียใหม่ โดยลดอำนาจลง ให้ความรับผิดชอบและอำนาจเด็ดขาดต่างๆ ขึ้นอยู่กับกรุงเทพฯ และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิรูปการปกครองหัวเมืองต่างๆ ให้ยกเลิกฐานะเจ้าพระยามหานครของปักษ์ใต้แล้วกระจายหัวเมืองมาเป็นมณฑล ได้แก่ มณฑลภูเก็ต มณฑลชุมพร (สุราษฎร์ธานี) มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลปัตตานี มณฑลเหล่านี้ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ ต่อมามณฑลต่างๆ ถูกลดฐานะเป็นจังหวัดหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในพ.ศ. ๒๔๗๕
                ลักษณะทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของภาคใต้ดังกล่าว เป็นรากฐานทางวัฒนธรรมทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งเกิดจากการติดต่อค้าขายกับชาติที่เจริญแล้ว เช่น จีน อินเดีย และอาหรับ ชาติเหล่านี้ได้นำอารยธรรมของตนเข้ามาพร้อมกับการค้าขาย จึงเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมจีนและอินเดียที่ผสมกับวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง วัฒนธรรมจีนผสมวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองเชื้อสายมาเลย์อย่างที่เรียกว่า วัฒนธรรมบ้าบ๋า เป็นต้น
                อีกทางหนึ่งเกิดขึ้นจากผลของการเคลื่อนย้ายแลกเปลี่ยนประชากรและชุมชนด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น พ.ศ. ๒๓๕๔ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชไปกวาดต้อนครอบครัวเชลยชาวไทรบุรีมาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีช่างฝีมือหลายประเภทปะปนมาด้วย เช่น ช่างทอง ช่างเงิน ช่างเครื่องประดับ รวมทั้งช่างทอผ้าด้วย โดยให้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณเมืองนครศรีธรรมราช ช่างเหล่านี้ได้ประกอบอาชีพของตน และเผยแพร่วิชาช่างให้กับคนพื้นเมืองจนแพร่หลายสืบต่อมาจนทุกวันนี้ เช่น การทำเครื่องถม การทอผ้ายก เป็นต้น
                การเคลื่อนย้ายผู้คนด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่เฉพาะแต่การเคลื่อนย้ายชาวมุสลิม เชื้อสายมาเลย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้เท่านั้น หากแต่มีการย้ายครอบครัวชาวไทยบางส่วนเข้าไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนซึ่งแต่เดิมเป็นของไทยด้วย เช่น ชุมชนชาวไทยที่ถูกอพยพเข้าไปอยู่ในกลันตันและไทรบุรี
                ลักษณะเช่นนี้นอกจากทำให้เกิดการผสมผสานกันระหว่างเชื้อชาติแล้ว ยังก่อให้เกิดการผสมผสานดันด้านวัฒนธรรมด้วย โดยเฉพาะวัฒนธรรมการทอผ้าของปักษ์ใต้ ส่วนหนึ่งจะเริ่มต้นขึ้นที่เมืองนครศรีธรรมราช ก่อนที่จะกระจายไปสู่ที่อื่นๆ การทอผ้าที่เมืองนครศรีธรรมราชนั้นกล่าวกันว่า เริ่มตั้งแต่สมัยเจ้าพระยานครศรีธรรมราชยกทัพไปปราบขบถเมืองไทรบุรี แล้วกวาดต้อนเชลยเข้ามาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ชาวไทรบุรีได้สอนการทอผ้ายกให้เด็กสาวและลูกหลานของกรมการเมือง ตลอดจนชาวบ้านที่สนใจ กล่าวกันว่า เจ้าพระยานครศรีธรรมราช ให้ความสนใจการทอผ้ามาก จนถึงขั้นเคยมีเรื่องหมางใจกับเจ้าเมืองสงขลาในปีพ.ศ. ๒๓๒๐ เพราะเจ้าพระยานครศรีธรรมราชสั่งให้กรมการเมืองออกไปเกณฑ์เอาช่างทอผ้าซึ่งเป็นบุตรสาวของกรมการเมืองสงขลา และบุตรสาวของราษฎรเมืองสงขลาเข้ามาไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ เจ้าเมืองสงขลาไม่พอใจ จึงกราบบังคมทูลฟ้องพระเจ้ากรุงธนบุรีว่า เจ้าพระยานครศรีธรรมราชใช้อำนาจกับชาวเมืองสงขลาเกินขอบเขต
                เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การทอผ้าที่เมืองนครศรีธรรมราชได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี แล้วสืบต่อมาเรื่อยๆ จากการทอผ้ายกสำหรับใช้ในหมู่เจ้าเมือง และกรมการเมืองชั้นสูงก่อนที่แพร่หลายไปสู่ชาวเมืองและประชาชนทั่วไป





 ผ้ายกนครศรีธรรมราช


                ผ้ายกนครศรีธรรมราช หรือ ผ้ายกเมืองนครฯ โดยเฉพาะผ้ายกทองเป็นผ้าที่มีชื่อเสียงมากในสมัยโบราณ ผ้าทอพื้นบ้านที่มีชื่อเสียงของภาคใต้อีกประเภทหนึ่งคือ ผ้าทอพุมเรียง ที่ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากตัวอำเภอไชยาไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๖ กิโลเมตร ประชาชนในตำบลพุมเรียงนั้นมีทั้งที่นับถือพุทธศาสนาและศาสนาอิสลาม เฉพาะกลุ่มที่ทอผ้านั้นส่วนมากเป็นไทยมุสลิม กล่าวกันว่าถูกกวาดต้อนมาจากไทรบุรีคราวเดียวกับพวกช่างทองและช่างทอผ้าที่เมืองนครศรีธรรมราช การทอผ้าที่พุมเรียงนั้นแต่เดิมคงจะเป็นการทอผ้าขึ้นใช้ในครัวเรือนและกลุ่มชนของตน
                บริเวณพื้นที่ชายผั่งทะเลด้านตะวันตกของภาคใต้เป็นบริเวณที่มีวัฒนธรรมผสมกันระหว่างพ่อค้าต่างชาติและคนพื้นเมือง โดยเฉพาะชาวจีนที่เข้ามาทำมาหากิน ตั้งถิ่นฐาน ทำเหมืองแร่และเกษตรกรรม บริเวณจังหวัดตรังเป็นบริเวณหนึ่งที่มีการตั้งถิ่นฐานของชาวจีน การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ของประชาชนแต่ละกลุ่มนั้นมักจะนำวิชาชีพที่ตนมีความชำนาญติดตัวไปด้วยเสมอ จนเมื่อตั้งถิ่นฐานได้อย่างมั่นคงแล้วก็จะประกอบอาชีพและทำงานที่ตนถนัดขึ้นในกลุ่มของตน รวมทั้งการทอผ้าด้วย เช่น ผ้าบ้านนาหมื่นศรี ผ้าเกาะยอ



ผ้าบ้านนาหมื่นศรี



ผ้าเกาะยอ




ผ้ายกพุมเรียง

                นอกจากผ้าทอพื้นบ้านภาคใต้ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เช่น ผ้ายกนครศรีธรรมราช ผ้าพุมเรียง ผ้าบ้านนาหมื่นศรี ผ้าเกาะยอ ยังมีผ้าพื้นบ้านที่ได้รับการส่งเสริมให้ทอขึ้นใหม่ในหลายจังหวัด เช่น ในจังหวัดพัทลุง กระบี่ ยะลา และปัตตานี  ซึ่งเคยเป็นแหล่งทอผ้ายกที่มีชื่อเสียง เช่น ผ้ายกปัตตานี ผ้าจวนตานี ที่มีชื่อเสียง จนถึงการทำผ้าปาเต๊ะในจังหวัดนราธิวาส ปัจจุบันการทอผ้าพื้นบ้านเหล่านี้กำลังได้รับการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ เพราะเป็นผ้าที่มีลักษณะพิเศษที่ไม่สามารถผลิตได้ในโรงงานอุตสาหกรรม หากแต่ต้องใช้ช่างทอผ้าพื้นบ้านที่มีฝีมือเท่านั้น


ผ้าไทยภาคกลาง


                                  ผ้าพื้นบ้านภาคกลาง


                ผ้าทอตามกรรมวิธีพื้นบ้านในบริเวณภาคกลาง ส่วนมากเป็นกลุ่มชนเผ่าไทที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามถิ่นต่างๆ ได้แก่ กลุ่มไทพวน ไทยวน ไทดำ เป็นต้น
  การอพยพกลุ่มไท-ลาวเข้ามาตั้งถิ่นฐานในท้องที่ต่างๆ ในบริเวณภาคกลาง เป็นเหตุให้กลุ่มชนเชื้อสายไท-ลาวกระจายไปอยู่ตามถิ่นต่างๆ เป็นจำนาวนมาก ซึ่งชุมชนเหล่านี้ส่วนมากยังคงทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มตามแบบอย่างและขนบนิยมที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ แหล่งทอผ้าพื้นบ้านภาคกลางที่สำคัญได้แก่ กลุ่มทอผ้าเชื้อสายไทพวน บ้านหาดเสี้ยว บ้านหาดสูง บ้านใหม่ และบ้านแม่ราก ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย ไทพวนบริเวณตำบลหาดเสี้ยวมาจากเมืองพวน ประเทศลาว ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว บางกลุ่มได้แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานในบางท้องที่ของจังหวัดปราจีนบุรี มหาสารคาม สุพรรณบุรี เป็นต้น
                ผ้าหาดเสี้ยวที่มีเอกลัษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นที่สุดชนิดหนึ่งคือ ซิ่นตีนจก เป็นผ้าทอสำหรับนุ่งในโอกาสพิเศษ เช่น งานเทศกาลประจำปี งานประเพณี ซิ่นตีนจกมักจะทอด้วยฝ้ายหรือฝ้ายสลับไหมเป็นลายขวางลำตัว มีเชิงเป็นลวดลายซึ่งทอด้วยวิธีจก จึงเรียก ซิ่นตีนจก นิยมทอด้วยการคว่ำผ้าลง ลายที่ทอมักเป็นลายเรชาคณิตเป็นหลัก และเรียกชื่อลายต่างๆ กัน เช่น ลายสิบหกดอกตัด ลายแปดขอ ลายสี่ดอกตัด ลายเครือใหญ่ ลายดอกเครือน้อย ลายเหล่านี้มักเป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีลายเล็กๆ ย่อซ้อนอยู่ภายใน การสลับลายใช้การเรียงซ้อนกัน คั่นด้วยหน้ากระดานเป็นชั้นๆ สีที่ใช้นิยมวรรณสีร้อน เช่น สีแดงอมส้ม สีน้ำตาลปนเหลือง ลายเล็กๆ จะย่อเป็นชั้นๆ ลดลงไปเรื่อยๆ และมักสอดไส้ด้วยสีอ่อน ส่วนเชิงล่างสุดหรือสะเปามักเป็นพื้นสีแดง ตีนจกบ้านหาดเสี้ยวมีความประณีตสวยงาม และมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเป็นของตนเองที่สืบทอดมาแต่โบราณ ลักษณะซิ่นตีนจกชาวไทพวนบ้านหาดเสี้ยวมีรูปแบบคล้ายกับซิ่นตีนจกของกลุ่มชนเชื้อสายไทพวนในท้องถิ่นอื่น เช่น ซิ่นตีนจกกลุ่มไทพวนในบริเวณจังหวัดพิจิตร อุทัยธานี นอกจากซิ่นตีนจกแล้ว ชาวไทพวนยังทอผ้าซิ่นสำหรับนุ่งอยู่บ้านและนุ่งทำงาน ซิ่นชนิดนี้จึงเป็นซิ่นฝ้ายทอด้วยลวดลายธรรมดา เชิงเป็นแถบสีดำหรือสีแดงอมส้ม


ผ้าซิ่นตีนจกบ้านหาดเสี้ยว


                ผ้าพื้นบ้านของกลุ่มไทพวนบ้านหาดเสี้ยวนอกหนือจากทอซิ่นแล้ว ยังทอผ้าชนิดอื่นอีกหลายชนิด เช่น  ผ้าห่มนอน มักเป็นผ้าเนื้อหนาลายตารางอย่างผ้าขาวม้า ทอด้วยฝ้ายเป็นผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้า หมอนผา หรือ หมอนขวาน และหมอนสี่เหลี่ยม ซึ่งมีลายขิดที่หน้าหมอนอย่างหมอนขิดของอีสาน ผ้าขาวม้า  ผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตาสี่เหลี่ยม แต่ถ้าเป็นผ้ากราบจะมีลวดลายพิเศษ เป็นรูปสัตว์ที่เชิงผ้า เช่น รูปช้าง ม้า คนขี่ม้า ผ้าชนิดนี้แต่เดิมใช้ในพิธีแต่งงานแล้วเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล แต่ปัจจุบันประยุกต์เป็นผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าห่ม ผ้าห่มคลุมไหล่ขณะออกนอกบ้านไปวัดหรือไปงานพิธีต่างๆ มักทอด้วยฝ้าย ทอด้วยหูกหน้าแคบ จึงต้องใช้สองผืนต่อกันตรงกลาง ที่เชิงมีลายและปล่อยชายผ้าเป็นเส้นครุยแล้วทำเป็นเกลียว ย่าม ถุงใส่ของที่ทำจากผ้าฝ้ายทอมือที่ทอใช้ประจำบ้านกันทั่วไป นิยมทอด้วยฝ้ายสีขาวมีลายดำเป็นทางยาว มี ๓ ชนาดคือ ย่ามชนาดใหญ่ ใช้ใส่ผ้าและอุปกรณ์การทอผ้า มักแขวนประจำหูกหรือใส่ด้ายที่ยังไม่ได้ย้อม หรือใส่ผ้าที่ทอแล้วไปขาย อีกชนิดหนึ่งเป็นย่ามขนาดกลาง ใช้สะพายติดตัวเดินทาง และชนิดที่สามเป็นย่ามขนาดเล็ก คนชราใช้ใส่ของกระจุกกระจิกติดตัวไปวัด หรือไปร่วมในงานประเพณีต่างๆ


   ผ้าซิ่นตีนจกบ้านไร่


                ผ้าพื้นบ้านชาวไทพวนที่มีลักษณะพิเศษอีกชนิดหนึ่งคือ ผ้าห่มบ้านไร่ เป็นผ้าฝ้ายทอสลับกับไหมพรม นิยมทอหน้าแคบแล้วเพลาะสองผืนรวมกันเป็นผืนเดียว เชิงผ้าจะทอสีขาวแล้วคั่นลายจกด้วยไหมพรมสีสดๆ เป็นแถบเล็กๆสลับกับพื้นขาว ๒-๓ ช่อง ส่วนกลางผืนมักทอด้วยลายขิดไปจนเต็มผืน บางทีทอเป็นริ้วปิดทั้งซ้ายและขวา ลวดลายของเชิงผ้าอาจจะไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง สุดเชิงมักปล่อยเป็นชายครุยเพื่อความสวยงาม
                นอกเหนือจากผ้าพื้นบ้านไทพวนในท้องถิ่นต่างๆ ของภาคกลางดังกล่าวแล้ว ในบริเวณภาคกลางยังมีผ้าทอมือของกลุ่มคนไทยเชื้อสายไทยวนหรือไทโยนก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนบประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชาวไทยวนหรือคนเมืองในล้านนา เชื่อกันว่าไทยวนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางนั้น ส่วนมากอพยพมาจากเมืองเชียงแสนในสมัยรัชกาลที่๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้พ้นจากอิทธิพลของพม่าที่มักเข้ามาตีเมืองเชียงแสนแล้วใช้เป็นที่สะสมเสบียงก่นอที่จะเข้ามารุกรานหัวเมืองทางเหนือของไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้อพยพชาวเมืองไทยวนอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี กลุ่มชาวไทยวนบริเวณอำเภอเมืองและอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี




ผ้าลับแล



                นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวไทยวนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางอีกหลายท้องถิ่น โดยเฉพาะชาวไทพวนที่ยังคงทอผ้าตามแบบประเพณีนิยมของตน ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าในบริเวณอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิษฐ์ ที่เรียกกันว่า ผ้าลับแล โดยเฉพาะซิ่นตีนจกลับแลมีเอกลัษณ์เฉพาะถิ่นคือ ตัวซิ่นนิยมทอเป็นลายขวางลำตัวหรือทอยกเป็นลายเล็กๆ หรือทอเป็นสีพื้นเรียบๆ เช่น สีเขียวลายริ้วดำ ตีนซิ่นนิยมทอเป็นลายจกกว้างหรือสูงขึ้นมามากกว่าซิ่นตีนจกบ้านหาดเสี้ยว และไม่นิยมปล่อยพื้นล่างสุดเป็นสีพื้น มักทอเป็นลายจกลงมาจนสุดเชิงผ้า สีของเชิงที่ลายจกมักเป็นสีใกล้เคียงกันแบบที่เรียกว่า สีเอกรงค์(monochrome) ซิ่นตีนจกลับแลเป็นซิ่นที่มีความประณีตสวยงาม ต่างจากซิ่นไทยวนบ้านเสาไห้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ซิ่นไทยวนตำบลดอนแร่ ตำบลคูบัว อำเภอเมือง บ้างบางกระโด อำเภอโพธาราม จ้งหวัดราชบุรี
                กลุ่มทอผ้าชาวไทยวนราชบุรีได้แก่ กลุ่มทอผ้าตำบลคูบัว ตำบลดอนแร่ และกลุ่มทอผ้าบางกระโด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี การทอผ้าของกลุ่มชนเลห่านี้ ยังมีเอกลักษณ์ของผ้าไทยวนชัดเจน แต่ละกลุ่มอาจมีลวดลายเฉพาะที่เป็นรสนิยมของกลุ่มแตกต่างกันไป เช่น


                                       
ผ้าซิ่นตีนจกบ้านคูบัว


               ผ้าซิ่นตีนจกของกลุ่มคูบัว ส่วนที่เป็นตีนซิ่นนิยมใช้เส้นยืนสีดำเพื่อให้จกเป็นลายได้ชัดเจน มักใช้สีน้อยเพื่อเน้นลวดลายให้เด่นชัด ความกว้างของเชิงจกประมาณ ๙-๑๑ นิ้ว ลายที่นิยมทอเป็นลายพื้นบ้าน เช่น ลายดอกเซีย ลายโก้งเก้ง ลายนกคู่กินน้ำร่วมต้น
                ผ้าซิ่นตีนจกกลุ่มดอนแร่ แม้จะนิยมทอผ้าซิ่นตีนจกเช่นเดียวกันก็ตาม แต่รายละเอียดของลวดลายและสีสันจะต่างกับซิ่นตีนจกกลุ่มคูบัว ลวดลายคล้ายคลึงกัน แต่จะจกลายติดกันแน่น ทำให้ลายไม่ชัดเจน นิยมใช้สีดำและแดง มักทอเชิงจกกว้างประมาณ ๑๔-๑๕ นิ้ว ซี่งกว้างกว่าตีนจกกลุ่มคูบัว
                ผ้าซิ่นตีนจกกลุ่มหนองโพนิยมทอลายหงส์คู่กินน้ำร่วมต้น รูปแบบคล้ายคลึงกับกลุ่มคูบัว และมีลักษณะคล้ายกับซิ่นตีนจกของชาวไทยวนในล้านนามาก
                ผ้าทอไทยวนราชบุรีทั้ง ๓ กลุ่ม นอกจากจะทอผ้าซิ่นตีนจกแล้ว ยังทอผ้าชนิดอื่นด้วย เช่น ผ้าซิ่นสำหรับใช้สอยประจำวัน ได้แก่ ซิ่นแหล้ หรือซิ่นสีกรมท่าที่ใช้นุ่งอยู่กับบ้าน ซิ่นตา สำหรับหญิงสาวนุ่งออกงานผ้าเบี่ยง สำหรับคลุมไหล่ นอกจากนี้ก็มีผ้าขาวม้า ผ้าลายต่างๆ
                กลุ่มชนเชื้อสายไท-ลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณภาคกลางอีกลุ่มหนึ่งคือ ไทดำหรือไทโซ่ง ซี่งอพยพเข้ามาตั้วถิ่นในบริเวณภาคอีสานและภาคกลางหลายระลอก ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี โดยเฉพาะในภาคกลางนั้นส่วนมากจะตั้งถิ่นฐานในหลายท้องถิ่นในจังหวัดใกล้เคียง เช่น บริเวณอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี





เสื้อก้อม




เสื้อฮี

                เครื่องแต่งกายของชาวไทโซ่งทั้งหญิงและชายนิยมผ้าสีดำ สีกรมท่า และสีคราม โดยเฉพาะผ้านุ่งสตรีหรือซิ่นเป็นผ้าสีกรมท่า มีริ้วเป็นทางขนานกับลำตัวแบบที่เรียกว่า ลายชะโด หรือ ลายแตงโม ส่วนเสื้อที่ใช้สวมในงานพิธีต่างๆ มักเป็นเส้อสีดำหรือสีกรมท่า เช่น เสื้อก้อม ส้วงก้อม ส้วงฮี และเสื้อต๊ก เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวที่ยังไม่ได้ย้อมใช้สวมเมื่อพ่อแม่ถึงแก่กรรม เสื้อฮี เสื้อชนิดนี้จะใช้ผ้าไหมสีสดๆ เย็บตกแต่งเป็นลวดลายที่คอเสื้อและใต้แขน แต่ส่วนมากจะตกแต่งไว้ด้านในของเสื้อ การสวมเสื้อกลับเอาด้านในออกให้เห็นสีสันที่สวยงามเฉพาะงานสำคัญจริงๆ เช่น งานศพของญาติที่ใกล้ชิดกัน นอกจากนี้ยังมีย่ามและกระเป๋าผู้ชายไทดำที่มีรูปแบบบและสีสันสวยงาม

                การทอผ้าใช้เองในกล่มไทโซ่งในปัจจุบันจะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการทอผ้าไหมที่ได้
จากการเลี้ยงไหมในครอบครัว เพื่อใช้เส้นใยมาทอเป็นผ้าไหมสีสดๆเอาไว้ตกแต่งเสื้อดังกล่าวแล้ว ส่วนการทอผ้าชนิดอื่นก็ยังมีทออยู่บ้น แต่ส่วนมากจะใช้ด้ายสำเร็จรูป ลวดลายและสีสันของผ้าก็จะเป็นไปตามความนิยมของตลาด
                ผ้าทอพื้นบ้านภาคกลางเคยมีทอกันในหลายท้องถิ่น แต่เมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนการทอผ้าด้วยมือ การทอผ้าพื้นบ้านหลายแห่งจึงสูญสลายไป แม้บางแห่งจะยังคงทอกันอยู่บ้าง แต่รูปแบบก็มักเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้บริโภค เช่น ผ้าทอมือที่บ้านอ่างหินหรืออ่างศิลา เคยเป็นแหล่งทอผ้าสำคัญของภาคตะวันออก ซึ่งทอทั้งผ้าไหม ผ้าม่วง ผ้าตาสมุกที่มีคุณภาพดี แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงการทอผ้าซิ่นและผ้าขาวม้าธรรมดา


ผ้าไทยภาคอีสาน

                                         ผ้าพื้นบ้านภาคอีสาน


        อาณาจักรล้านช้างมีกษัตริย์วสืบต่อมาทั้งที่สร้างความเจริญให้บ้านเมืองและบางครั้งก็ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนเกิดความแตกแยกออกเป็นกลุ่มเป็นแคว้น  จนถึงสมัยกรุวธนบุรี  ลาวได้แตกแยกออกเป็นแคว้นต่างๆ ๓ แคว้น  คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาสัก  ต่างฝ่ายต่างแสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอก  เช่น สยาม ญวน ทำให้ลาวอ่อนแอ จนในที่สุดทั้งสามแคว้นก็ตกเป็นเมืองขึ้นของสยามทั้งหมด




(ผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดอกบีบ จ.พิษณุโลก) 

                ต่อมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตรงกับรัชกาลเจ้าอนุวงศ์ของลาวเกิดความขัดแย้งแตกแยกกัน  ทำให้ลาวบางกลุ่มหนีเข้ามาลี้ภัยในบริเวณภาคอีสานสยามให้การสนับสนุนเพราะถือว่าลาวเป็นประเทศราช  จีงส่งเสริมให้มีการตั้งชุมชนเป็นหมู่บ้านเป็นเมืองขึ้นเพื่อขยายประเทศ  อันมีผลต่อการเก็บส่วยและเกณฑ์คนเข้ามารับราชการและใช้แรงงาน  เป็นเหตุให้เกิดเมืองต่าง ๆ ขึ้นในภาคอีสาน  แต่ภายหลังชาวลาวที่เข้ามาอยู่ในภาคอีสานเกิดความขัดแย้งกับเจ้าอนุวงศ์จนเป็นสงครามลุกลามถึงกรุงเทพฯ เกิดเป็นสงครามระหว่างสยามกับลาว  สุดท้ายลาวฝ่ายเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้  เจ้าอนุวงศ์และครอบครัวถูฏจับเป็นเชลยมายังกรุงเทพฯ  สงครามครั้งนั้นส่งผลให้ประชาชนหลายเผ่าพันธ์ต้องโยกย้ายที่อยู่อาศัย  บางกลุ่มโยกย้ายไปอยู่ในเขตญวน  บางกลุ่มโยกย้ายเข้ามาในเขตไท  และบางพวกถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในบริเวณภาคกลาง  เช่น บริเวณจังหวัดชลบุรี เพชรบุรี กำแพงเพชร ปราจีนบุรี  ฉะเทริงเทรา และนครนายก  จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า  ชาวลาวได้เข้าสู่ดินแดนไทย ๒ ลักษณะ คือ พวกแรกอพยพเข้ามาลี้ภัยตั้งบ้านเมือง  ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในบริเวณภาคอีสาน กลุ่มที่สองถูกกวาดต้อนเข้ามาระหว่างสงคราม  ส่วนมากจะถูกนำมาภาคกลาง  แล้วกระจายกันไปตั้งถิ่นฐานในหลายจังหวัดของภาคกลาง
                รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงจัดการปกครองหัวเมืองภาคตะวันออกเป็นหัวเมืองประเทศราช  ๓ เมือง คือ เวียงจันทน์ นครพนม นครจำปาสัก ให้เมืองนครราชสีมาปกครองเมืองเขมรป่าดง  และเมืองที่ไม่ขึ้นกับประเทศราชทั้งสาม  โดยอนุโลมให้หัวเมืองประเทศราชปกครองกันเองตามธรรมเนียมราชการเดิม  ไม่เข้าไปทำกิจกรรมภายใน  เพียงให้ส่งเครื่องราชบรรณการตามที่กำหนดเท่านั้น  ลักษณะเช่นนี้ปฏิบัติกันมาจนถึงรัชกาลที่ ๓ ชุมชนลาวที่เข้ามาตั้งบ้านเมืองอยู่ในภาคอีสานนั้นยังคงรับวัฒนธรรมจากล้านช้างเรื่อยมา  เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์ เอื้ออำนวยให้ติดต่อใกล้ชิดกันได้สะดวกมากกว่า  เนื่องจากมีเพียงแม่น้ำโขงกั้นเท่านั้น  ประกอบกับอำนาจทางการเมืองของกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและต้นรัตนโกสินทร์ยังไปไม่ถึงดินแดนภาคอีสาน  จึงทำให้ผู้คนแถบล้านช้างที่เข้ามาอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในภาคอีสานของสยามในสมัยนั้น  ไม่ค่อยมีความรู้สึกผูกพันธ์กัยราชสำนักมากนักจนราชสำนักกรุงเทพฯ ต้องจัดส่งข้าหลวงใหญ่ไปปกครองโดยตรงที่เมืองอุบลราชธานีในปี พ.ศ. ๒๔๓๖ เพราะราษฎรในแถบนั้นไม่ยอมรเสียส่วยให้กับทางราชการ โดยอ้างว่าไม่ใช่คนไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการมีอำนาจปกครองเหนือดินแดนอีสานในระยะนั้นมุ่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ไม่สนใจเรื่องการผลิตฝ้ายและไหมซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทอผ้าทำเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ต่างๆ เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่การผลิตฝ้ายและไหมในภาคอีสานรับวัฒนธรรมจากล้านช้างซึ่งทำใช้กันเอง ส่วนราชสำนักสั่งซื้อผ้าจากต่างประเทศมาใช้
                ต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางยุทธศาสตร์แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ กระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ กระทรวงเกษตราธิการและกระทรวงมหาดไทยก็ยังไม่ทราบว่ามีแหล่งเลี้ยงไหมอยู่ในภาคอีสานเป็นเวลานานแล้ว เพราะจากรายงานการตรวจการมณฑลนครราชสีมาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ. ๒๔๐๕-๒๔๘๖) ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒ พบแต่เพียงว่าสินค้าส่งออกของท้องถิ่นภาคอีสานมีแต่พวกของป่าในท้องถิ่นเท่านั้น ไม่มีสินค้าพวกผ้าไหม ไหมดิบ และไหมอื่นๆ เลย
                ต่อมาเมื่อประเทศไทยยอมรับคำแนะนำของฝ่ายญี่ปุ่น เพื่อใช้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตโดยถือระบบการค้าไหมดิบของญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างแล้ว จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญคือ คาเมทาโร โตยามา (Kametaro Toyama) เข้ามาสำรวจการเลี้ยงและผลิตไหมในภาคอีสานที่นครราชสีมา ในปีพ.ศ. ๒๔๔๔ ฝ่ายราชการของไทยคือกระทรวงเกษตราธิการและกระทรวงมหาดไทยต้องรอคอยรายงานการสำรวจของโตยามา เพราะไม่รู้ว่ามีการลุ้นยงและผลิตไหมในภาคอีสานมาก่อนดังกล่าวแล้ว จนเมื่อได้รับรายงานแล้วจึงรู้ว่าเกือบทุกหมู่บ้านของภาคอีสานมีการทอผ้าไหมและผ้าฝ้ายด้วยวิธีมัดหมี่ ขิด จก ฯลฯ อยู่ก่อนแล้ว
(ชาวผู้ไท หรือ ภูไท)





                นอกจากกลุ่มชนเชื้อสายลาวซึงมีวัฒนธรรมการทอผ้าเป็นกลุ่มชนใหญ่ที่มีเอกลักษณ์ กรรมวิธี และรูปแบบของผ้าเป็นของตนเองแล้ว ยังมีกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าปรากฏมาจปัจจุบันอีกสองกลุ่มคือ กลุ่มผู้ไทและกลุ่มชนเชื้อสายเขมร กลุ่มผู้ไท ทั้งผู้ไทดำ ผู้ไทขาว และผู้ไทแดงเคยอยู่ในดินแดนล้านช้างทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้วยกัน ก่อนอพยพเข้าสู่ภาคอีสานในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นชนกลุ่มน้อยในภาคอีสานที่มีลักษณะพิเศษคือ  ชอบอยู่เป็นกลุ่มอย่างโดดเดี่ยวเป็นอิสระในกลุ่มเผ่าพันธ์ของตนเอง  แต่เมื่ออยู่ร่วมกันมาก่อนเป็นเวลานาน  จึงมีการผสมผสานทางวัฒนธรรรม  ประเพณี และความเชื่อบางอย่างกับพวกกลุ่มลาวอยู่ไม่น้อย  เมื่อเข้ามาอยู่ในภาคอีสานแล้วก็มีการอพยพเคลื่อนย้ายกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ราบเชิงเขา และบนเขาในเขตจังหวัดนครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธิ์  ชนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมในการทอผ้าที่ค่อนข้างเด่นทั้งด้านสีสันและเทคนิควิธีการทอ
                กลุ่มเขมรหรือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรเป็นชนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งตั้งถิ่นฐานที่กระจายอยู่ทางแถบจังหวัดสุรินทร์  ศรีษะเกษ และบุรีรัมย์ หรืออีสานใต้ ชนกลุ่มนี้อพยพมาจากประเทศเขมรเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ๒๓ ไล่เลี่ยกันกับพวกส่วย (กวยหรือกุย) ปัจจุบันหลายหมู่บ้านมีทั้งลาว เขมร และส่วยอยู่ร่วมกัน แต่ละกลุ่มมีการทอผ้าที่เป็นลักษณะพิเศษเป็นของงตนเอง
                โดยทั่วไปชาวอีสานมีสังคมแบบเกษตรกรรมเพื่อยังชีพ ส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือการทำนา  ซึ่งต้องใช้เวลาตั้งแต่เพาะปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวประมาณ ๗-๙ เดือน ในแต่ละปีตลอดฤดูฝนและฤดูหนาว ส่วนเวลาในช่วงฤดูร้อนประมาณ ๓ ๕ เดือนที่ว่าง  ชาวอีสานจะทำงานทุกอย่างเพื่อเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งการทำบุญประเพณีและการพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสต่าง ๆ เป็นวงจรของการดำรงชีพที่หมุนเวียนเช่นนี้ในแต่ละปี





(การสาวไหม)
                “ยามว่างจากงานในนา  ผ็หญิงทอผ้า ผู้ชายจักสาน เป็นคำกล่าวที่สะท้อนให้เห็นสภาพการดำรงชีวิตและสังคมของชาวอีสาน  ดังนั้นการทอผ้าจึงเป็นงานสำคัญของผู้หญิง  ผ้าที่ทอจะใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม  ได้แก่ เสื้อ ซิ่น (ผ้านุ่ง) ซ่ง (กางเกง) โสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าคลุมไหล่ เครื่องนอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม และเครื่องใช้ที่จะถวายพระในงานบุญประเพณีต่าง ๆ เช่น ที่นอน หมอน ผ้าห่อคัมภีร์ ผ้ากราบ ผ้าพระเวสส์
                กระบวนการทอผ้าเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงไหม  ปลูกหม่อน ปลูกฝ้ายสำหรับทอผ้า เริ่มลงมือทอผ้า  ซึ่งมีประเพณีอย่างหนึ่งเรียกว่า ลงข่วง


(ผ้ามัดหมี่ไทลาว)
                การทอผ้าที่สำคัญของชาวอีสาน คือ การทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ในครัวเรือน  ผ้าซิ่นของกลุ่มไท-ลาวนิยมใช้ลายขนานกับลำตัวต่างกับซิ่นล้านนาที่นิยมลายขวางลำตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า  ชาวไท-ลาวอีสานนิยมนุ่งสูงระดับเข่าหรือเหนือเข่า  การต่อหัวซิ่นและตีนซิ่น ถ้าเป็นซิ่นไหมจะต่อตีนซิ่นด้วยไหม  แต่ถ้าเป็นซ่นฝ้ายก็จะต่อด้วยฝ้าย  ตีนซิ่นจะมีขนาดแคบ ๆ ไม่นิยมเชิงใหญ่  หัวซิ่นนิยมต่อด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอขิดเป็นลายโบกคว่ำและโบกหงาย  ใช้สีขาวหรือสีแดงเป็นพื้น  ใช้ได้ทั้งกับผ้าซิ่นไหมหรือซิ่นฝ้าย  การต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ  เวลานุ่งตะเข็บหนึ่งอยู่ข้างหลังสะโพก  ต่างกับการนุ่งซุ่นของชาวล้านนาหรือชาวไทยญวนที่นิยมนุ่งผ้าลายขวางที่มีสองตะเข็บ   เวลานุ่งจึงมีตะเข็บหนี่งอยู่ข้างหลังสะโพก  ไม่เหมือนกับซิ่นของชาวลาวซึ่งซ่อนตะเข็บไว้ด้านหน้าจนไม่เห็นตะเข็บ  สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมที่เป็นประเพณีต่อกันมาแต่อดีต


(ผ้าห่อคัมภีร์)


                นอกจากการทอผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว  ยังทอตามความเชื่อถือ ศรัทธาพุทธศาสนาด้วย เช่น การทอผ้าสำหรับทำหมอนถวายพระ ผ้าพระเวสส์ ผ้าห่อคัมภีร์ใบลาน  ธงหรือทุง (มักออกเสียง ซุง) ถวายพระในงานบุญตามประเพณี  ความเชื่อ ศาสนาของชาวอีสานที่สืบต่อกันมช้านาน
                ผ้าทอพื้นบ้านอีสานที่รู้จักกันดีและทำกันมาแต่โบราณนันมี ๒ ชนิด คือ ผ้าที่ทอจากเส้นใยฝ้ายและไหม  แต่ภายหลังมีการนำเส้นใยสังเคาะห์ประเภทด้ายและไหมโทเรมาผสม  ซึ่งเป็นการทอลักษณะหัตถอุตสาหกรรมการทอผ้าพื้นบ้านแต่เดิมชาวบ้านจะทำเองทุกขั้นตอน  ตั้งแต่ปลูกฝ้ายและปลูกต้นหม่อนเพื่อเอาใบมาเลี้ยงตัวไหม  นำรังไหมมาสาวให้เป็นเส้นจนกระทั้งฝอกและย้อมสี 


  

โฮงหมี่)
จากนั้นจึงนำไปทอด้วยเครื่องทอแบบพื้นบ้านทีเรียกว่า  โฮ่งหูก  หรือ โฮ่งกี่  ส่วนราชการใช้เส้นใยสังเคาะห์ทุกชนิดจะใช้วิธีซื้อตามท้องตลาดโดยไม่ต้องฟอกและย้อมตามกรรมวิธีพื้นบ้าน



(ผ้ามัดหมี่บ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ)
                ผ้าพื้นบ้านของกลุ่มอีสานไท-ลาว ผู้ไท เขมร ที่รู้จักกันทั่วไป คือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ผ้าจก และผ้าพื้น


(ผ้าไหมมัดหมี่)

                ผ้ามัดหมี่ เป็นผ้าที่ทอให้เกิดลวดลายด้วยการมัดย้อม  การมัดหมี่กรือมักย้อมจะยากง่ายต่างกันขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของลวดลายและสีที่ต้องการ ถ้าทำลวดลายสลับซับซ้อนก็ต้องมัดถี่และมัดมากขึ้น ถ้าต้องการหลายสีจะต้องมัดแล้วย้อมหลายครั้งตามตำแหน่งสีของลาย  ผู้มัดจึงต้องเข้าใจและมีความสำชำนาญทั้งในด้านรูปแบบของลวดลายและหลักวิธีการผสมสี จึงจะได้ผ้าที่สวยงาม