ผ้าพื้นบ้านภาคอีสาน
อาณาจักรล้านช้างมีกษัตริย์วสืบต่อมาทั้งที่สร้างความเจริญให้บ้านเมืองและบางครั้งก็ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อนเกิดความแตกแยกออกเป็นกลุ่มเป็นแคว้น
จนถึงสมัยกรุวธนบุรี
ลาวได้แตกแยกออกเป็นแคว้นต่างๆ
๓ แคว้น คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และจำปาสัก ต่างฝ่ายต่างแสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอก
เช่น
สยาม ญวน ทำให้ลาวอ่อนแอ จนในที่สุดทั้งสามแคว้นก็ตกเป็นเมืองขึ้นของสยามทั้งหมด
(ผ้าฝ้ายมัดหมี่ลายดอกบีบ จ.พิษณุโลก)
ต่อมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตรงกับรัชกาลเจ้าอนุวงศ์ของลาวเกิดความขัดแย้งแตกแยกกัน
ทำให้ลาวบางกลุ่มหนีเข้ามาลี้ภัยในบริเวณภาคอีสานสยามให้การสนับสนุนเพราะถือว่าลาวเป็นประเทศราช
จีงส่งเสริมให้มีการตั้งชุมชนเป็นหมู่บ้านเป็นเมืองขึ้นเพื่อขยายประเทศ
อันมีผลต่อการเก็บส่วยและเกณฑ์คนเข้ามารับราชการและใช้แรงงาน
เป็นเหตุให้เกิดเมืองต่าง
ๆ ขึ้นในภาคอีสาน แต่ภายหลังชาวลาวที่เข้ามาอยู่ในภาคอีสานเกิดความขัดแย้งกับเจ้าอนุวงศ์จนเป็นสงครามลุกลามถึงกรุงเทพฯ
เกิดเป็นสงครามระหว่างสยามกับลาว สุดท้ายลาวฝ่ายเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้ เจ้าอนุวงศ์และครอบครัวถูฏจับเป็นเชลยมายังกรุงเทพฯ
สงครามครั้งนั้นส่งผลให้ประชาชนหลายเผ่าพันธ์ต้องโยกย้ายที่อยู่อาศัย
บางกลุ่มโยกย้ายไปอยู่ในเขตญวน
บางกลุ่มโยกย้ายเข้ามาในเขตไท
และบางพวกถูกกวาดต้อนเข้ามาอยู่ในบริเวณภาคกลาง
เช่น
บริเวณจังหวัดชลบุรี เพชรบุรี กำแพงเพชร ปราจีนบุรี ฉะเทริงเทรา
และนครนายก จากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ชาวลาวได้เข้าสู่ดินแดนไทย
๒ ลักษณะ คือ พวกแรกอพยพเข้ามาลี้ภัยตั้งบ้านเมือง ส่วนใหญ่กระจายอยู่ในบริเวณภาคอีสาน
กลุ่มที่สองถูกกวาดต้อนเข้ามาระหว่างสงคราม ส่วนมากจะถูกนำมาภาคกลาง
แล้วกระจายกันไปตั้งถิ่นฐานในหลายจังหวัดของภาคกลาง
รัชกาลที่
๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงจัดการปกครองหัวเมืองภาคตะวันออกเป็นหัวเมืองประเทศราช
๓
เมือง คือ เวียงจันทน์ นครพนม นครจำปาสัก ให้เมืองนครราชสีมาปกครองเมืองเขมรป่าดง
และเมืองที่ไม่ขึ้นกับประเทศราชทั้งสาม
โดยอนุโลมให้หัวเมืองประเทศราชปกครองกันเองตามธรรมเนียมราชการเดิม
ไม่เข้าไปทำกิจกรรมภายใน
เพียงให้ส่งเครื่องราชบรรณการตามที่กำหนดเท่านั้น
ลักษณะเช่นนี้ปฏิบัติกันมาจนถึงรัชกาลที่
๓ ชุมชนลาวที่เข้ามาตั้งบ้านเมืองอยู่ในภาคอีสานนั้นยังคงรับวัฒนธรรมจากล้านช้างเรื่อยมา
เพราะสภาพทางภูมิศาสตร์
เอื้ออำนวยให้ติดต่อใกล้ชิดกันได้สะดวกมากกว่า เนื่องจากมีเพียงแม่น้ำโขงกั้นเท่านั้น
ประกอบกับอำนาจทางการเมืองของกรุงศรีอยุธยาตอนปลายและต้นรัตนโกสินทร์ยังไปไม่ถึงดินแดนภาคอีสาน
จึงทำให้ผู้คนแถบล้านช้างที่เข้ามาอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงในภาคอีสานของสยามในสมัยนั้น
ไม่ค่อยมีความรู้สึกผูกพันธ์กัยราชสำนักมากนักจนราชสำนักกรุงเทพฯ
ต้องจัดส่งข้าหลวงใหญ่ไปปกครองโดยตรงที่เมืองอุบลราชธานีในปี พ.ศ. ๒๔๓๖
เพราะราษฎรในแถบนั้นไม่ยอมรเสียส่วยให้กับทางราชการ โดยอ้างว่าไม่ใช่คนไทย
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการมีอำนาจปกครองเหนือดินแดนอีสานในระยะนั้นมุ่งผลทางการเมืองและเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ไม่สนใจเรื่องการผลิตฝ้ายและไหมซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทอผ้าทำเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ต่างๆ
เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่การผลิตฝ้ายและไหมในภาคอีสานรับวัฒนธรรมจากล้านช้างซึ่งทำใช้กันเอง
ส่วนราชสำนักสั่งซื้อผ้าจากต่างประเทศมาใช้
ต่อมาเมื่อมีการสร้างทางรถไฟสายนครราชสีมาด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางยุทธศาสตร์แล้วเสร็จในปี
พ.ศ. ๒๔๔๒ กระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๕ กระทรวงเกษตราธิการและกระทรวงมหาดไทยก็ยังไม่ทราบว่ามีแหล่งเลี้ยงไหมอยู่ในภาคอีสานเป็นเวลานานแล้ว
เพราะจากรายงานการตรวจการมณฑลนครราชสีมาของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (พ.ศ.
๒๔๐๕-๒๔๘๖) ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒
พบแต่เพียงว่าสินค้าส่งออกของท้องถิ่นภาคอีสานมีแต่พวกของป่าในท้องถิ่นเท่านั้น
ไม่มีสินค้าพวกผ้าไหม ไหมดิบ และไหมอื่นๆ เลย
ต่อมาเมื่อประเทศไทยยอมรับคำแนะนำของฝ่ายญี่ปุ่น
เพื่อใช้นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตโดยถือระบบการค้าไหมดิบของญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างแล้ว
จึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญคือ คาเมทาโร โตยามา (Kametaro Toyama) เข้ามาสำรวจการเลี้ยงและผลิตไหมในภาคอีสานที่นครราชสีมา
ในปีพ.ศ. ๒๔๔๔
ฝ่ายราชการของไทยคือกระทรวงเกษตราธิการและกระทรวงมหาดไทยต้องรอคอยรายงานการสำรวจของโตยามา
เพราะไม่รู้ว่ามีการลุ้นยงและผลิตไหมในภาคอีสานมาก่อนดังกล่าวแล้ว
จนเมื่อได้รับรายงานแล้วจึงรู้ว่าเกือบทุกหมู่บ้านของภาคอีสานมีการทอผ้าไหมและผ้าฝ้ายด้วยวิธีมัดหมี่
ขิด จก ฯลฯ อยู่ก่อนแล้ว
(ชาวผู้ไท หรือ ภูไท)
นอกจากกลุ่มชนเชื้อสายลาวซึงมีวัฒนธรรมการทอผ้าเป็นกลุ่มชนใหญ่ที่มีเอกลักษณ์
กรรมวิธี และรูปแบบของผ้าเป็นของตนเองแล้ว
ยังมีกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมการทอผ้าปรากฏมาจปัจจุบันอีกสองกลุ่มคือ
กลุ่มผู้ไทและกลุ่มชนเชื้อสายเขมร กลุ่มผู้ไท ทั้งผู้ไทดำ ผู้ไทขาว
และผู้ไทแดงเคยอยู่ในดินแดนล้านช้างทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงด้วยกัน
ก่อนอพยพเข้าสู่ภาคอีสานในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
(พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นชนกลุ่มน้อยในภาคอีสานที่มีลักษณะพิเศษคือ
ชอบอยู่เป็นกลุ่มอย่างโดดเดี่ยวเป็นอิสระในกลุ่มเผ่าพันธ์ของตนเอง
แต่เมื่ออยู่ร่วมกันมาก่อนเป็นเวลานาน
จึงมีการผสมผสานทางวัฒนธรรรม
ประเพณี
และความเชื่อบางอย่างกับพวกกลุ่มลาวอยู่ไม่น้อย เมื่อเข้ามาอยู่ในภาคอีสานแล้วก็มีการอพยพเคลื่อนย้ายกระจัดกระจายกันอยู่ตามที่ราบเชิงเขา
และบนเขาในเขตจังหวัดนครพนม มุกดาหาร สกลนคร กาฬสินธิ์ ชนกลุ่มนี้มีวัฒนธรรมในการทอผ้าที่ค่อนข้างเด่นทั้งด้านสีสันและเทคนิควิธีการทอ
กลุ่มเขมรหรือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรเป็นชนกลุ่มน้อยอีกกลุ่มหนึ่งตั้งถิ่นฐานที่กระจายอยู่ทางแถบจังหวัดสุรินทร์
ศรีษะเกษ
และบุรีรัมย์ หรืออีสานใต้ ชนกลุ่มนี้อพยพมาจากประเทศเขมรเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่
๒๒ – ๒๓ ไล่เลี่ยกันกับพวกส่วย (กวยหรือกุย) ปัจจุบันหลายหมู่บ้านมีทั้งลาว
เขมร และส่วยอยู่ร่วมกัน แต่ละกลุ่มมีการทอผ้าที่เป็นลักษณะพิเศษเป็นของงตนเอง
โดยทั่วไปชาวอีสานมีสังคมแบบเกษตรกรรมเพื่อยังชีพ
ส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือการทำนา ซึ่งต้องใช้เวลาตั้งแต่เพาะปลูกจนกระทั่งเก็บเกี่ยวประมาณ
๗-๙ เดือน ในแต่ละปีตลอดฤดูฝนและฤดูหนาว ส่วนเวลาในช่วงฤดูร้อนประมาณ ๓ – ๕
เดือนที่ว่าง ชาวอีสานจะทำงานทุกอย่างเพื่อเตรียมอุปกรณ์และเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน
รวมทั้งการทำบุญประเพณีและการพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสต่าง ๆ
เป็นวงจรของการดำรงชีพที่หมุนเวียนเช่นนี้ในแต่ละปี
(การสาวไหม)
“ยามว่างจากงานในนา
ผ็หญิงทอผ้า
ผู้ชายจักสาน ” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนให้เห็นสภาพการดำรงชีวิตและสังคมของชาวอีสาน
ดังนั้นการทอผ้าจึงเป็นงานสำคัญของผู้หญิง
ผ้าที่ทอจะใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม
ได้แก่
เสื้อ ซิ่น (ผ้านุ่ง) ซ่ง (กางเกง) โสร่ง ผ้าขาวม้า ผ้าคลุมไหล่ เครื่องนอน หมอน
มุ้ง ผ้าห่ม และเครื่องใช้ที่จะถวายพระในงานบุญประเพณีต่าง ๆ เช่น ที่นอน หมอน
ผ้าห่อคัมภีร์ ผ้ากราบ ผ้าพระเวสส์
กระบวนการทอผ้าเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงไหม
ปลูกหม่อน
ปลูกฝ้ายสำหรับทอผ้า เริ่มลงมือทอผ้า ซึ่งมีประเพณีอย่างหนึ่งเรียกว่า
ลงข่วง
(ผ้ามัดหมี่ไทลาว)
การทอผ้าที่สำคัญของชาวอีสาน
คือ การทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ในครัวเรือน ผ้าซิ่นของกลุ่มไท-ลาวนิยมใช้ลายขนานกับลำตัวต่างกับซิ่นล้านนาที่นิยมลายขวางลำตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า
ชาวไท-ลาวอีสานนิยมนุ่งสูงระดับเข่าหรือเหนือเข่า
การต่อหัวซิ่นและตีนซิ่น
ถ้าเป็นซิ่นไหมจะต่อตีนซิ่นด้วยไหม แต่ถ้าเป็นซ่นฝ้ายก็จะต่อด้วยฝ้าย ตีนซิ่นจะมีขนาดแคบ
ๆ ไม่นิยมเชิงใหญ่ หัวซิ่นนิยมต่อด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอขิดเป็นลายโบกคว่ำและโบกหงาย
ใช้สีขาวหรือสีแดงเป็นพื้น
ใช้ได้ทั้งกับผ้าซิ่นไหมหรือซิ่นฝ้าย
การต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ
การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ เวลานุ่งตะเข็บหนึ่งอยู่ข้างหลังสะโพก
ต่างกับการนุ่งซุ่นของชาวล้านนาหรือชาวไทยญวนที่นิยมนุ่งผ้าลายขวางที่มีสองตะเข็บ
เวลานุ่งจึงมีตะเข็บหนี่งอยู่ข้างหลังสะโพก
ไม่เหมือนกับซิ่นของชาวลาวซึ่งซ่อนตะเข็บไว้ด้านหน้าจนไม่เห็นตะเข็บ
สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมที่เป็นประเพณีต่อกันมาแต่อดีต
(ผ้าห่อคัมภีร์)
นอกจากการทอผ้าเป็นเครื่องนุ่งห่มแล้ว
ยังทอตามความเชื่อถือ
ศรัทธาพุทธศาสนาด้วย เช่น การทอผ้าสำหรับทำหมอนถวายพระ ผ้าพระเวสส์
ผ้าห่อคัมภีร์ใบลาน ธงหรือทุง (มักออกเสียง ซุง)
ถวายพระในงานบุญตามประเพณี ความเชื่อ ศาสนาของชาวอีสานที่สืบต่อกันมช้านาน
ผ้าทอพื้นบ้านอีสานที่รู้จักกันดีและทำกันมาแต่โบราณนันมี
๒ ชนิด คือ ผ้าที่ทอจากเส้นใยฝ้ายและไหม แต่ภายหลังมีการนำเส้นใยสังเคาะห์ประเภทด้ายและไหมโทเรมาผสม
ซึ่งเป็นการทอลักษณะหัตถอุตสาหกรรมการทอผ้าพื้นบ้านแต่เดิมชาวบ้านจะทำเองทุกขั้นตอน
ตั้งแต่ปลูกฝ้ายและปลูกต้นหม่อนเพื่อเอาใบมาเลี้ยงตัวไหม
นำรังไหมมาสาวให้เป็นเส้นจนกระทั้งฝอกและย้อมสี
โฮงหมี่)
จากนั้นจึงนำไปทอด้วยเครื่องทอแบบพื้นบ้านทีเรียกว่า โฮ่งหูก
หรือ
โฮ่งกี่ ส่วนราชการใช้เส้นใยสังเคาะห์ทุกชนิดจะใช้วิธีซื้อตามท้องตลาดโดยไม่ต้องฟอกและย้อมตามกรรมวิธีพื้นบ้าน
(ผ้ามัดหมี่บ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ)
ผ้าพื้นบ้านของกลุ่มอีสานไท-ลาว
ผู้ไท เขมร ที่รู้จักกันทั่วไป คือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด ผ้าจก และผ้าพื้น
(ผ้าไหมมัดหมี่)
ผ้ามัดหมี่
เป็นผ้าที่ทอให้เกิดลวดลายด้วยการมัดย้อม การมัดหมี่กรือมักย้อมจะยากง่ายต่างกันขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของลวดลายและสีที่ต้องการ
ถ้าทำลวดลายสลับซับซ้อนก็ต้องมัดถี่และมัดมากขึ้น
ถ้าต้องการหลายสีจะต้องมัดแล้วย้อมหลายครั้งตามตำแหน่งสีของลาย ผู้มัดจึงต้องเข้าใจและมีความสำชำนาญทั้งในด้านรูปแบบของลวดลายและหลักวิธีการผสมสี
จึงจะได้ผ้าที่สวยงาม
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น