ผ้าพื้นบ้านภาคกลาง
ผ้าทอตามกรรมวิธีพื้นบ้านในบริเวณภาคกลาง
ส่วนมากเป็นกลุ่มชนเผ่าไทที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ตามถิ่นต่างๆ ได้แก่ กลุ่มไทพวน ไทยวน
ไทดำ เป็นต้น
การอพยพกลุ่มไท-ลาวเข้ามาตั้งถิ่นฐานในท้องที่ต่างๆ ในบริเวณภาคกลาง
เป็นเหตุให้กลุ่มชนเชื้อสายไท-ลาวกระจายไปอยู่ตามถิ่นต่างๆ เป็นจำนาวนมาก
ซึ่งชุมชนเหล่านี้ส่วนมากยังคงทอผ้าเพื่อใช้เป็นเครื่องนุ่งห่มตามแบบอย่างและขนบนิยมที่สืบทอดกันมาแต่บรรพบุรุษ
แหล่งทอผ้าพื้นบ้านภาคกลางที่สำคัญได้แก่ กลุ่มทอผ้าเชื้อสายไทพวน บ้านหาดเสี้ยว
บ้านหาดสูง บ้านใหม่ และบ้านแม่ราก ตำบลหาดเสี้ยว อำเภอหาดเสี้ยว จังหวัดสุโขทัย
ไทพวนบริเวณตำบลหาดเสี้ยวมาจากเมืองพวน ประเทศลาว
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
บางกลุ่มได้แยกย้ายกันไปตั้งถิ่นฐานในบางท้องที่ของจังหวัดปราจีนบุรี มหาสารคาม
สุพรรณบุรี เป็นต้น
ผ้าหาดเสี้ยวที่มีเอกลัษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นที่สุดชนิดหนึ่งคือ
ซิ่นตีนจก เป็นผ้าทอสำหรับนุ่งในโอกาสพิเศษ เช่น งานเทศกาลประจำปี งานประเพณี
ซิ่นตีนจกมักจะทอด้วยฝ้ายหรือฝ้ายสลับไหมเป็นลายขวางลำตัว
มีเชิงเป็นลวดลายซึ่งทอด้วยวิธีจก จึงเรียก ซิ่นตีนจก นิยมทอด้วยการคว่ำผ้าลง
ลายที่ทอมักเป็นลายเรชาคณิตเป็นหลัก และเรียกชื่อลายต่างๆ กัน เช่น ลายสิบหกดอกตัด
ลายแปดขอ ลายสี่ดอกตัด ลายเครือใหญ่ ลายดอกเครือน้อย
ลายเหล่านี้มักเป็นลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด มีลายเล็กๆ ย่อซ้อนอยู่ภายใน
การสลับลายใช้การเรียงซ้อนกัน คั่นด้วยหน้ากระดานเป็นชั้นๆ สีที่ใช้นิยมวรรณสีร้อน
เช่น สีแดงอมส้ม สีน้ำตาลปนเหลือง ลายเล็กๆ จะย่อเป็นชั้นๆ ลดลงไปเรื่อยๆ
และมักสอดไส้ด้วยสีอ่อน ส่วนเชิงล่างสุดหรือสะเปามักเป็นพื้นสีแดง
ตีนจกบ้านหาดเสี้ยวมีความประณีตสวยงาม
และมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเป็นของตนเองที่สืบทอดมาแต่โบราณ
ลักษณะซิ่นตีนจกชาวไทพวนบ้านหาดเสี้ยวมีรูปแบบคล้ายกับซิ่นตีนจกของกลุ่มชนเชื้อสายไทพวนในท้องถิ่นอื่น
เช่น ซิ่นตีนจกกลุ่มไทพวนในบริเวณจังหวัดพิจิตร อุทัยธานี นอกจากซิ่นตีนจกแล้ว
ชาวไทพวนยังทอผ้าซิ่นสำหรับนุ่งอยู่บ้านและนุ่งทำงาน
ซิ่นชนิดนี้จึงเป็นซิ่นฝ้ายทอด้วยลวดลายธรรมดา เชิงเป็นแถบสีดำหรือสีแดงอมส้ม
ผ้าซิ่นตีนจกบ้านหาดเสี้ยว
ผ้าพื้นบ้านของกลุ่มไทพวนบ้านหาดเสี้ยวนอกหนือจากทอซิ่นแล้ว
ยังทอผ้าชนิดอื่นอีกหลายชนิด เช่น ผ้าห่มนอน มักเป็นผ้าเนื้อหนาลายตารางอย่างผ้าขาวม้า
ทอด้วยฝ้ายเป็นผืนสี่เหลี่ยมผืนผ้า หมอนผา หรือ หมอนขวาน และหมอนสี่เหลี่ยม
ซึ่งมีลายขิดที่หน้าหมอนอย่างหมอนขิดของอีสาน ผ้าขาวม้า ผ้าฝ้ายสี่เหลี่ยมผืนผ้าลายตาสี่เหลี่ยม
แต่ถ้าเป็นผ้ากราบจะมีลวดลายพิเศษ เป็นรูปสัตว์ที่เชิงผ้า เช่น รูปช้าง ม้า
คนขี่ม้า ผ้าชนิดนี้แต่เดิมใช้ในพิธีแต่งงานแล้วเก็บไว้เพื่อเป็นสิริมงคล
แต่ปัจจุบันประยุกต์เป็นผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ ผ้าห่ม
ผ้าห่มคลุมไหล่ขณะออกนอกบ้านไปวัดหรือไปงานพิธีต่างๆ มักทอด้วยฝ้าย
ทอด้วยหูกหน้าแคบ จึงต้องใช้สองผืนต่อกันตรงกลาง
ที่เชิงมีลายและปล่อยชายผ้าเป็นเส้นครุยแล้วทำเป็นเกลียว ย่าม ถุงใส่ของที่ทำจากผ้าฝ้ายทอมือที่ทอใช้ประจำบ้านกันทั่วไป
นิยมทอด้วยฝ้ายสีขาวมีลายดำเป็นทางยาว มี ๓ ชนาดคือ ย่ามชนาดใหญ่
ใช้ใส่ผ้าและอุปกรณ์การทอผ้า มักแขวนประจำหูกหรือใส่ด้ายที่ยังไม่ได้ย้อม
หรือใส่ผ้าที่ทอแล้วไปขาย อีกชนิดหนึ่งเป็นย่ามขนาดกลาง ใช้สะพายติดตัวเดินทาง
และชนิดที่สามเป็นย่ามขนาดเล็ก คนชราใช้ใส่ของกระจุกกระจิกติดตัวไปวัด
หรือไปร่วมในงานประเพณีต่างๆ
ผ้าซิ่นตีนจกบ้านไร่
ผ้าพื้นบ้านชาวไทพวนที่มีลักษณะพิเศษอีกชนิดหนึ่งคือ ผ้าห่มบ้านไร่ เป็นผ้าฝ้ายทอสลับกับไหมพรม
นิยมทอหน้าแคบแล้วเพลาะสองผืนรวมกันเป็นผืนเดียว
เชิงผ้าจะทอสีขาวแล้วคั่นลายจกด้วยไหมพรมสีสดๆ เป็นแถบเล็กๆสลับกับพื้นขาว ๒-๓
ช่อง ส่วนกลางผืนมักทอด้วยลายขิดไปจนเต็มผืน บางทีทอเป็นริ้วปิดทั้งซ้ายและขวา
ลวดลายของเชิงผ้าอาจจะไม่เหมือนกันทั้งสองข้าง
สุดเชิงมักปล่อยเป็นชายครุยเพื่อความสวยงาม
นอกเหนือจากผ้าพื้นบ้านไทพวนในท้องถิ่นต่างๆ
ของภาคกลางดังกล่าวแล้ว
ในบริเวณภาคกลางยังมีผ้าทอมือของกลุ่มคนไทยเชื้อสายไทยวนหรือไทโยนก
ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนบประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชาวไทยวนหรือคนเมืองในล้านนา
เชื่อกันว่าไทยวนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางนั้น
ส่วนมากอพยพมาจากเมืองเชียงแสนในสมัยรัชกาลที่๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เพื่อให้พ้นจากอิทธิพลของพม่าที่มักเข้ามาตีเมืองเชียงแสนแล้วใช้เป็นที่สะสมเสบียงก่นอที่จะเข้ามารุกรานหัวเมืองทางเหนือของไทย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรดเกล้าฯ ให้อพยพชาวเมืองไทยวนอำเภอเสาไห้
จังหวัดสระบุรี กลุ่มชาวไทยวนบริเวณอำเภอเมืองและอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
ผ้าลับแล
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มชาวไทยวนที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางอีกหลายท้องถิ่น
โดยเฉพาะชาวไทพวนที่ยังคงทอผ้าตามแบบประเพณีนิยมของตน
ผ้าทอของกลุ่มทอผ้าในบริเวณอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิษฐ์ ที่เรียกกันว่า ผ้าลับแล โดยเฉพาะซิ่นตีนจกลับแลมีเอกลัษณ์เฉพาะถิ่นคือ
ตัวซิ่นนิยมทอเป็นลายขวางลำตัวหรือทอยกเป็นลายเล็กๆ หรือทอเป็นสีพื้นเรียบๆ เช่น
สีเขียวลายริ้วดำ
ตีนซิ่นนิยมทอเป็นลายจกกว้างหรือสูงขึ้นมามากกว่าซิ่นตีนจกบ้านหาดเสี้ยว
และไม่นิยมปล่อยพื้นล่างสุดเป็นสีพื้น มักทอเป็นลายจกลงมาจนสุดเชิงผ้า
สีของเชิงที่ลายจกมักเป็นสีใกล้เคียงกันแบบที่เรียกว่า สีเอกรงค์(monochrome)
ซิ่นตีนจกลับแลเป็นซิ่นที่มีความประณีตสวยงาม
ต่างจากซิ่นไทยวนบ้านเสาไห้ อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี ซิ่นไทยวนตำบลดอนแร่
ตำบลคูบัว อำเภอเมือง บ้างบางกระโด อำเภอโพธาราม จ้งหวัดราชบุรี
กลุ่มทอผ้าชาวไทยวนราชบุรีได้แก่
กลุ่มทอผ้าตำบลคูบัว ตำบลดอนแร่ และกลุ่มทอผ้าบางกระโด อำเภอโพธาราม
จังหวัดราชบุรี การทอผ้าของกลุ่มชนเลห่านี้ ยังมีเอกลักษณ์ของผ้าไทยวนชัดเจน
แต่ละกลุ่มอาจมีลวดลายเฉพาะที่เป็นรสนิยมของกลุ่มแตกต่างกันไป เช่น
ผ้าซิ่นตีนจกบ้านคูบัว
ผ้าซิ่นตีนจกของกลุ่มคูบัว
ส่วนที่เป็นตีนซิ่นนิยมใช้เส้นยืนสีดำเพื่อให้จกเป็นลายได้ชัดเจน
มักใช้สีน้อยเพื่อเน้นลวดลายให้เด่นชัด ความกว้างของเชิงจกประมาณ ๙-๑๑ นิ้ว
ลายที่นิยมทอเป็นลายพื้นบ้าน เช่น ลายดอกเซีย ลายโก้งเก้ง ลายนกคู่กินน้ำร่วมต้น
ผ้าซิ่นตีนจกกลุ่มดอนแร่
แม้จะนิยมทอผ้าซิ่นตีนจกเช่นเดียวกันก็ตาม
แต่รายละเอียดของลวดลายและสีสันจะต่างกับซิ่นตีนจกกลุ่มคูบัว ลวดลายคล้ายคลึงกัน
แต่จะจกลายติดกันแน่น ทำให้ลายไม่ชัดเจน นิยมใช้สีดำและแดง มักทอเชิงจกกว้างประมาณ
๑๔-๑๕ นิ้ว ซี่งกว้างกว่าตีนจกกลุ่มคูบัว
ผ้าซิ่นตีนจกกลุ่มหนองโพนิยมทอลายหงส์คู่กินน้ำร่วมต้น
รูปแบบคล้ายคลึงกับกลุ่มคูบัว และมีลักษณะคล้ายกับซิ่นตีนจกของชาวไทยวนในล้านนามาก
ผ้าทอไทยวนราชบุรีทั้ง
๓ กลุ่ม นอกจากจะทอผ้าซิ่นตีนจกแล้ว ยังทอผ้าชนิดอื่นด้วย เช่น
ผ้าซิ่นสำหรับใช้สอยประจำวัน ได้แก่ ซิ่นแหล้ หรือซิ่นสีกรมท่าที่ใช้นุ่งอยู่กับบ้าน ซิ่นตา สำหรับหญิงสาวนุ่งออกงานผ้าเบี่ยง สำหรับคลุมไหล่
นอกจากนี้ก็มีผ้าขาวม้า ผ้าลายต่างๆ
กลุ่มชนเชื้อสายไท-ลาว
เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณภาคกลางอีกลุ่มหนึ่งคือ ไทดำหรือไทโซ่ง
ซี่งอพยพเข้ามาตั้วถิ่นในบริเวณภาคอีสานและภาคกลางหลายระลอก ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี
โดยเฉพาะในภาคกลางนั้นส่วนมากจะตั้งถิ่นฐานในหลายท้องถิ่นในจังหวัดใกล้เคียง เช่น
บริเวณอำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
เสื้อก้อม
เสื้อฮี
เครื่องแต่งกายของชาวไทโซ่งทั้งหญิงและชายนิยมผ้าสีดำ
สีกรมท่า และสีคราม โดยเฉพาะผ้านุ่งสตรีหรือซิ่นเป็นผ้าสีกรมท่า
มีริ้วเป็นทางขนานกับลำตัวแบบที่เรียกว่า ลายชะโด หรือ ลายแตงโม
ส่วนเสื้อที่ใช้สวมในงานพิธีต่างๆ มักเป็นเส้อสีดำหรือสีกรมท่า เช่น เสื้อก้อม ส้วงก้อม
ส้วงฮี และเสื้อต๊ก เสื้อผ้าฝ้ายสีขาวที่ยังไม่ได้ย้อมใช้สวมเมื่อพ่อแม่ถึงแก่กรรม เสื้อฮี เสื้อชนิดนี้จะใช้ผ้าไหมสีสดๆ
เย็บตกแต่งเป็นลวดลายที่คอเสื้อและใต้แขน แต่ส่วนมากจะตกแต่งไว้ด้านในของเสื้อ
การสวมเสื้อกลับเอาด้านในออกให้เห็นสีสันที่สวยงามเฉพาะงานสำคัญจริงๆ เช่น
งานศพของญาติที่ใกล้ชิดกัน
นอกจากนี้ยังมีย่ามและกระเป๋าผู้ชายไทดำที่มีรูปแบบบและสีสันสวยงาม
การทอผ้าใช้เองในกล่มไทโซ่งในปัจจุบันจะมีน้อยมาก
ส่วนใหญ่เป็นการทอผ้าไหมที่ได้
จากการเลี้ยงไหมในครอบครัว เพื่อใช้เส้นใยมาทอเป็นผ้าไหมสีสดๆเอาไว้ตกแต่งเสื้อดังกล่าวแล้ว
ส่วนการทอผ้าชนิดอื่นก็ยังมีทออยู่บ้น แต่ส่วนมากจะใช้ด้ายสำเร็จรูป
ลวดลายและสีสันของผ้าก็จะเป็นไปตามความนิยมของตลาด
ผ้าทอพื้นบ้านภาคกลางเคยมีทอกันในหลายท้องถิ่น
แต่เมื่อระบบอุตสาหกรรมเข้ามาแทนการทอผ้าด้วยมือ
การทอผ้าพื้นบ้านหลายแห่งจึงสูญสลายไป แม้บางแห่งจะยังคงทอกันอยู่บ้าง
แต่รูปแบบก็มักเปลี่ยนไปตามความต้องการของผู้บริโภค เช่น
ผ้าทอมือที่บ้านอ่างหินหรืออ่างศิลา เคยเป็นแหล่งทอผ้าสำคัญของภาคตะวันออก
ซึ่งทอทั้งผ้าไหม ผ้าม่วง ผ้าตาสมุกที่มีคุณภาพดี
แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียงการทอผ้าซิ่นและผ้าขาวม้าธรรมดา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น